วันจันทร์ที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

กำจัดต้น


กำจัดต้น


ชื่อวิทยาศาสตร์  Zanthoxylum limonella (Dennst.) Alston
ชื่อสามัญ  -
ชื่อวงศ์  Rutaceae

ชื่อเรียกอื่นๆ หมากแขว่น(ภาคเหนือ) มะข่วง(ภาคเหนือ) ละมาด พริกหอม พริกม้า(ภาคกลาง) แคนโข่ง, มะนาวป่า (อีสาน) หมากมาศ (กรุงเทพฯ) ลูกระมาศ มะแข่น มะข่วน บ่าแข่น หมักช่วง (แม่ฮ่องสอน)

กำจัดต้น ใช้แทนเครื่องเทศ รสชาติเผ็ดร้อนคล้ายพริก รู้จักดีในเขตจาวเหนือ มะแขว่นมีถิ่นกำเนิดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พบตามป่าดิบชื้นขึ้นได้ทั่วไปในทุกภาคของประเทศไทย





ต้น  เป็นไม้ต้น อาจจะสูงถึง 20 เมตร มีหนาวแข็งตามลำต้นและกิ่งก้าน เนื้อไม้มีแก่น

ใบ ใบประกอบแบบขนนก ก้านใบสีแดง ลักษณะใบยาวรีปลายใบแหลม ขอบใบเรียบเป็นคลื่นเล็กน้อย ใบอ่อนและใบแก่สีน้ำตาลแดง เป็นไม้ผลัดใบ

ดอก ออกดอกเป็นช่อ กลิ่นคล้ายดอกส้ม ออกดอกตามซอกใบใกล้ยอด

เมล็ด  เมล็ดกลม ขนาดเล็ก สีดำเป็นมัน ผลค่อนข้างสุกสีแดงจะแตกเมื่อแห้ง

การขยายพันธุ์  เพาะเมล็ด

ฤดูกาลเก็บส่วนขยายพันธุ์ ปลายฝนต้นหนาว ผลจะแก่ช่วง พ.ย.- ธ.ค.

สภาพแวดล้อมที่เหมาะสมในการเจริญเติบโต  กำจัดต้นชอบดินร่วน ระบายน้ำได้ดี มีแสงแดดครึ่งวัน โตช้า ชอบอากาศเย็น ถ้าปลูกในที่มีแสงแดดจัด อากาศร้อน จะเจริญเติบโตได้ไม่ดีนัก

การใช้ประโยชน์ กำจัดต้น 


ทางอาหาร ยอดอ่อนมีกลิ่นหอม จึงนิยมกินเป็นัผักสดกับอาหารหลายอย่าง เช่น ลาบ ยอดมีรสมันมีมากช่วงหน้าฝน ส่วนชาวเหนือจะนำผลที่ออกในช่วงหน้าหนาวมาตากแห้งเก็บไว้ใช้เป็นเครื่องเทศใส่ในแกงหรือยำต่างๆ บ้างก็นำมาคั่วให้หอมและตำก่อน

นอกจากนี้ยังมี กำจัดหน่วย หรือ มะแขว่น มะแข่น [Z. nitidum (Roxb.) DC.] ที่ใช้เป็นผักและเครื่องเทศเช่นกัน ซึ่งแตกต่างกันที่เป็นไม้เลื้อย ผลเล็กกว่ากำจัดต้น ก้านผลมีขนอ่อนปกคลุมเล็กน้อย

ทางยา  ใช้ผลแก่ทำเป็นลูกประคบแผลพุพอง หรือนำมาตำชงกับน้ำร้อนดื่มช่วยแก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ  แก้น้ำกัดเท้า  การใช้สอยอื่นๆ ลำต้นแปรรูปเป็นเสา ทำเฟอร์นิเจอร์ได้ แต่ไม่ค่อยนิยมใช้มากเท่าไร

วันเสาร์ที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

กลอย..กินดิบมีพิษ กินสุกอร่อย - พืชผักสมุนไพรพื้นบ้าน

กลอย 


ชื่อวิทยาศาสตร์  Dioscorea hispida Dennst. var. hispida
ชื่อสามัญ  Asiatic Bitter Yam
ชื่อวงศ์  Dioscoreaceae

ชื่อเรียกอื่นๆ มันกลอย, กลอยนก(ภาคเหนือ), กอย(ภาคเหนือ), กลอยหัวเหนียว หรือ กลอยข้าวเหนียว(อีสาน)

กลอย เป็นไม้เถาเลื้อยพันต้นไม้อื่น อายุหลายปีไม่มีมีเกาะลำต้นมีหนามเล็กๆ กระจายทั่วไปและมีขนนุ่มๆ สีขาวปกคลุม มีหัวอยู่ใต้ดินลักษณะทรงกลมรี มีรากเล็กๆ กระจายทั่วทั้งหัว มี 3-5 หัวต่อต้น เปลือกหัวบางสีน้ำตาลออกเหลือง

เนื้อในหัวมี 2 ชนิดคือ "กลอยข้าวเจ้า" ใบและเถาสีเขียว เนื้อในหัวมีสีขาว ร่วนซุย และ
"กลอยข้าวเหนียว" (กลอยไข่ หรือ กลอยเหลือง) มีใบและเถาสีน้ำตาลเรื่อ เนื้อในหัวสีเหลืองนวล เหนียวและอร่อยกว่ากลอยข้าวเจ้าสีขาว




ใบ เป็นใบประกอบก้านใบยาว 10-15 เซนติเมตร มีใบย่อย 3 ใบ รูปรีปลายใบแหลมขอบใบเรียบเส้นใบนูน ผิวใบสากมือ มีขนนุ่มๆ ปกคลุม ความกว้างของใบ 3-5 เซนติเมตร ยาว 8-10 เซนติเมตร

ดอก เป็นดอกช่อ ออกตามซอกใบ ก้านดอกเดี่ยวยาวห้อยย้อยลงมา มีดอกเล็กๆ ติดบนก้านดอกจำนวนมาก

ผล  ผลคล้ายผลมะเฟืองมี 3 พู แต่ละพูมี 1 เม็ด เมื่อแก่จะแตกได้เอง

เมล็ด  ลักษณะกลมแบน มีปีกนางใสรอบเมล็ด ช่วยในการปลิวตามลม

การขยายพันธุ์  เมล็ด หัวเหง้า

ฤดูกาลที่เก็บส่วนขยายพันธุ์ ฤดูหนาว

สภาพแวดล้อมที่เหมาะสมในการเจริญเติบโต ที่ดอน ระบายน้ำดี และร่มรำไร ขยายพันธุ์โดยการแยกหัวที่แตกจากข้อต้นมาปลูกใหม่ ในฤดูหนาวหัวกลอยจะพักตัว หยุดการเจริญเติบโต ใบจะเหี่ยว เมื่อเข้าฤดูร้อนและฝนมาจึงผลิใบและดอกเจริญเติบโตอีกครั้ง

การใช้ประโยชน์ กลอย 


ทางอาหาร  เนื่องจากหัวกลอยดิบมีสารพิษ หากจะนำมาปรุงอาหารต้องนำสารพิษในหัวดิบออกเสียก่อน โดยชาวบ้านจะปลอกเปลือกแล้วหั่นเป็นแว่นๆ หนาประมาณ 1 ซม. วางเรียงในไหหรือภาชนะให้สูงประมาณ 10 ซม. โรยด้วยเกลือหนา 1-2 ซม. แล้วน้ำชิ้นกลอยมาวางเรียงอีกชั้น ทำเช่นเดิมจนหมด ทิ้งไว้หนึ่งคืน แล้วล้างน้ำให้สะอาดนำใส่ในถุงผ้าขาวบาง วางทับด้วยของหนักๆเพื่อรีดน้ำพิษออกจากเนื้อให้หมด

นำกลอยมาใส่ในภาชนะเติมน้ำจนท่วมเนื้อ ทิ้งไว้หนึ่งคืน ล้างให้สะอาด วางทับด้วยของหนักอีก แล้วล้างออก ทำเช่นนี้อีก 5-7 วัน จึงนำมาประกอบอาหาร ถ้ามีมากนำมาตากแห้งเก็บไว้กินได้นาน

ด้านสมุนไพรทางยา  น้ำมันที่สกัดจากหัวกลอยใช้ทาแก้ฝ้า ใส่แผล ช่วยสมานแผล ขับน้ำเหลือง 

วันพฤหัสบดีที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

กะทกรก...(ผ้าขี้ริ้วห่อทอง) - พืชผักสมุนไพรพื้นบ้าน

กะทกรก


ชื่อวิทยาศาสตร์  Passiflora foetida L.
ชื่อสามัญ  Running Pop, Stinking Passion Fruit
ชื่อวงศ์  Passifloraceae

ชื่ออื่นๆที่เรียก  ผ้าขี้ริ้วห่อทอง, ตำลึงฝรั่ง , เถาสิงโต เถาเงาะ(ภาคกลาง) ผักแคบฝรั่ง(ภาคเหนือ), เครือขนตาข้าง(ภาคอีสาน), กระโปรงทอง(ภาคใต้)

กะทกรก มีถิ่นกำเนิดในอเมริกาใต้ พบได้ทั่วไปทุกภาคในไทย เป็นไม้เลื้อยอายุหลายปี ทุกส่วนมีขนสีทองปกคลุมและมีมือเกาะพันออกตามข้อ

ใบ ใบเดี่ยวเรียงสลับ แผ่นใบรูปหัวใจ ค่อนข้างเรียบขอบใบเว้าเข้าหากลางใบเล็กน้อยเป็นรูป 3 แฉก ปลายแฉกค่อนข้างแหลม มีขนปกคลุมห่างๆ โคนใบเว้าเข้าก้านใบ

ดอก  ดอกเดี่ยว ออกตามซอกใบ กลีบเลี้ยงเปลี่ยนรูปเป็นฝอยสีเขียว กลีบดอกสีขาวมี 5 กลีบ มีรยางค์สีขาวโคนม่วงเรียงเป็นวงรอบเกสรตัวผู้และเกสรตัวเมีย ปลายเกสรตัวเมียแยกเป็น 5 แฉก

ผล มีลักษณะกลมออกรี เมื่อผลสุกมีสีเหลืองห่อหุ้มด้วยฝอยกลีบเลี้ยง เหมือนชื่อเรียก "ผ้าขี้ริ้วห่อทอง" ภายในผลมีเมล็ดสีดำมากมายภายใน

เมล็ด มีเยื่อหุ้มคล้ายเมล็ดแมงลักเมื่อแช่น้ำ

การขยายพันธุ์   เมล็ด

ฤดูกาลเก็บส่วนขยายพันธุ์  ฤดูหนาว

สภาพแวดล้อมที่เหมาะสมในการเจริญเติบโต
กะทกรกมักขึ้นเองตามธรรมชาติโดยไม่ต้องปลูก ชอบดินร่วน ระบายน้ำได้ดี แสงแดดตลอดวัน ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ด สามารถหว่านปลูกตามแนวรั้วคอยตัดแต่งและรดน้ำอย่างสม่ำเสมอ


กรุงเขมา(เครือหมาน้อย)...วุ้นธรรมชาติ - พืชผักสมุนไพรพื้นบ้าน

กรุงเขมา


ชื่อวิทยาศาสตร์ Cissampelos pareira L. var. hirsuta (Buch. ex DC.) Forman
ชื่อสามัญ
ชื่อวงศ์  Menispermaceae

ชื่อเรียกอื่นๆ   ขงเขมา, เถาก้นปิด (ภาคกลาง) เครือหมาน้อย(ภาคอีสาน)

กรุงเขมา มีถิ่นกำเนิดในภูมิภาคประเทศเขตร้อน ในไทยพบอยู่ทั่วไปทุกภาคตามป่าดิบชื้น ป่าเบญพรรณ และป่าไผ่ เป็นไม้เลื้อยมีรากสะสมอาหารขนาดใหญ่

ทุกส่วนของต้นกรุงเขมา(เครือหมาน้อย)มีขนปกคลุม ใบรูปก้นปิด ปลายแหลม ช่อดอกแบบช่อซี่ร่ม ออกดอกที่ซอกใบ ดอกแยกเพศอยู่ต่างต้นกัน(มีต้นตัวผู้และต้นตัวเมีย) ดอกมีขนาดเล็ก ดอกสีขาวอมเหลืองอ่อน ผลมีลักษณะกลม เมื่อผลสุกจะมีสีแดง ภายในมีเมล็ดรูปเกือกม้า




การขยายพันธุ์  เมล็ด เหง้า

สภาพแวดล้อมที่เหมาะสมกับการขยายพันธุ์  กรุงเขมาชอบดินร่วน ระบายน้ำได้ดี ชอบแสงแดดรำไร ไม่พบว่านิยมปลูกกันมากนักส่วนใหญ่ชาวบ้านมักไปเก็บเอาเถามาจากป่าที่ขึ้นเองตามธรรมชาติ หากต้องการปลูกเป็นไม้ริมรั้วสามารถตัดเถามาปักชำหรือแยกเหง้าหัวที่อยู่ใต้ดินมาชำปลูกได้

ประโยชน์พืชผักสมุนไพรพื้นบ้าน - กรุงเขมา(เครือหมาน้อย)



ทางอาหาร   ชาวอีสานมักจะนำเถาต้นทั้งใบของกรุงเขมา(เครือหมาน้อย)มาขยำคั้นกับน้ำต้มสุก แล้วกรองคั้นเฉพาะน้ำออกใส่ภาชนะ เติมเกลือเล็กน้อย ตั้งทิ้งไว้ที่อุณหภูมิห้องทั่วไปประมาณ 10-15 นาที น้ำคั้นที่ได้ก็จะเกาะตัวแข็งกลายเป็นวุ้น(แบบธรรมชาติ) จากนั้นจึงนำมาปรุงอาหาร หรือทำเป็นของหวาน ให้แคลเซียม วิตามินบี 2 รวมถึงโปรตีนสูง

ทางยา  รากเป็นยาขับปัสสาวะ ยาระบาย แก้ไข้มาเลเรีย เป็นยาช่วยให้เจริญอาหาร รากและใบน้ำมาตำพอกบริเวณที่เป็นโรคผิวหนัง  ลำต้นช่วยลดไข้ทุกชนิด บำรุงเลือดในสตรี นำมาพอกแก้ตาอักเสบ

วันพุธที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

กระสัง - พืชผักสมุนไพรพื้นบ้าน


กระสัง


ชื่อวิทยาศาสตร์  Peperomia pellucida Korth.
ชื่อสามัญ  Pellucid-leaved Pepper
ชื่อวงศ์  Piperaceae

ชื่อเรียกอื่นๆ  ผักฮากกล้วย, ผักราชวงศ์ (ภาคเหนือ)  ผักสังเขา(ภาคใต้)

กระสังเป็นผักพื้นบ้านที่คนไทยทั่วไปรู้จักกันดี นอกจากจะใช้ในการทดลองวิทยาศาสตร์ของเด็กๆแล้ว ยังกินเป็นผักจิ้มน้ำพริกได้ รสเผ็ดซ่าเล็กน้อย มีกินตลอดปีให้แคลอรี่ต่ำ ซึ่งมักจะพบขึ้นแทรกอยู่ตามกระถางต้นไม้ต่างๆ หรือขึ้นแซมอยู่กับสวนไม้ดอกไม้ประดับมากมาย พบเห็นได้ทั่วไปทุกภูมิภาค

แท้ที่จริงแล้วกระสังเป็นพืชพื้นถิ่นที่มีต้นกำเนิดในเขตร้อนของทวีปอเมริกา เป็นไม้ล้มลุก มีลำต้นอวบน้ำไปทุกส่วน ใบคล้ายรูปหัวใจ ปลายใบแหลม ช่อดอกตั้งตรง ออกที่ซอกใบปลายยอด ส่วนดอกนั้นมีขนาดเล็กมาก ติดอยู่ที่ก้านยาวๆของช่อดอก ซึ่งดอกนั้นไม่มีทั้งกลีบเลี้ยงและกลีบดอก ส่วนผลเป็นเมล็ดกลมๆติดอยู่ตามก้านของช่อดอก


การขยายพันธุ์   เมล็ด

ฤดูกาลเก็บส่วนขยายพันธุ์  ทุกฤดู

สภาพแวดล้อมที่เหมาะสมในการเจริญเติบโต

กระสังชอบดินร่วนซุย ระบายน้ำได้ดี สามารถเจริญเติบโตได้ในทุกสภาพ แต่ถ้าต้องการปลูกเพื่อเป็นผักนำมารับประทาน ควรปลูกในบริเวณที่มีแสงรำไร รดน้ำสม่ำเสมอ จะให้ต้นกระสังที่อวบอ้วนน่าทาน ขยายพันธุ์ง่ายเพียงนำเมล็ดแก่มาโรยในพื้นที่ที่เราต้องการ รดน้ำให้ชุ่มอีกประมาณ 1 อาทิตย์ เมล็ดก็จะเริ่มงอก
เมื่อผ่านไป 2 สัปดาห์ก็สามารถเก็บนำมาทานได้

การใช้ประโยชน์ กระสัง


ทางอาหาร  ต้นและใบสามารถนำมารับประทานเป็นผักสด จิ้มน้ำพริก หรือทำยำได้

ทางยา  ด้านสมุนไพรตามตำรายาพื้นบ้านใช้เป็นยาเย็น แก้ปวดท้อง กันชัก และแก้ไข้ ใบแก้โรคลักปิดลักเปิด ทั้งต้นใช้รักษาแผลและฝีหนอง

วันอังคารที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

กระชาย



กระชาย 


ชื่อวิทยาศาสตร์  Boesenbergia rotunda (L.) Mansf.
ชื่อสามัญ   Chinese Keys
ชื่อวงศ์   Zingiberaceae

ชื่ออื่นๆ  ว่านพระอาทิตย์(ภาคกลาง)  กะแอน ละแอน(ภาคเหนือ) ขิงทราย(ภาคอีสาน)

กระชาย พบทุกภาคของประเทศไทย เป็นไม้ล้มลุก อายุหลายปี ลำต้นอยู่ใต้ดินมีลักษณะเป็นเหง้าสั้นๆ มีรากใช้สะสมอาหารดูแล้วคล้ายกุญแจจีน จึงมีชื่อสามัญว่า Chinese Keys





ต้น   เป็นไม้ล้มลุก มีหัวใต้ดิน ส่วนกลางของลำต้นเป็นแกนแข็ง มีกาบใบ หรือโคนใบหุ้ม

ใบ  มีกลิ่นหอม ก้านใบแทงขึ้นจากหัวใต้ดินใบกว้าง 7-9 เซนติเมตร

ดอก   มีสีม่วงแดง ออกเป็นช่อ มีขน มีเกสรเพศผู้ที่เป็นหมัน ซึ่งเปลี่ยนรูปไปเป็นกลีบสีชมพูเข้มดูคล้ายกลีบดอก อับเรณูอยู่ใกล้ปลายท่อ เกสรตัวเมียมีขนาดยาว ยอดของมันเป็นรูปปากแตรเกลี้ยงไม่มีขน

การขยายพันธุ์  เหง้า(หัวใต้ดิน)

ฤดูกาลเก็บส่วนขยายพันธุ์  ตลอดปี

สภาพแวดล้อมที่เหมาะสมในการเจริญเติบโต

กระชาย ชอบดินร่วนปนทราย ระบายน้ำได้ แสงแดดส่องถึงรำไร ขยายพันธุ์ด้วยการแยกเหง้า หรือ นำเหง้ากระชายที่เหลือใช้มาปลูกในฤดูร้อน หมั่นรดน้ำอย่างสม่ำเสมอ ให้ปุ๋ยคอกบ้างหลังปลูกแล้วสักระยะหนึ่ง  ในฤดูหนาวต้นจะพักตัว ใบเหี่ยวแห้งไป เมื่อถึงฤดูร้อนและฤดูฝนจะเจริญเติบโตขึ้นมาอีกครั้ง

การใช้ประโยชน์


  • ทางอาหาร กระชายมีรสเผ็ดร้อนเหง้าใช้ใส่ในเครื่องแกงเผ็ด รากสดซอยใส่ในแกงต่างๆ หน่อล้างสะอาดกินเป็นผักสดกับอาหาร หรือนำมาลวกจิ้มน้ำพริก
  • ทางยา  ช่วยขับปัสสาวะ ขับระดูขาว บำรุงร่างกาย ช่วยขับลม แก้ท้องอืดท้องเฟ้อ โดยน้ำเหง้าหรือรากสดมา 5-6 ราก ทุบพอให้แตกต้มน้ำดื่ม 


วันจันทร์ที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

กระเจียวแดง



กระเจียวแดง 


ชื่อเรียกอื่นๆ         กระเจียวโคก(ภาคอีสาน), อาวแดง(ภาคเหนือ)
ชื่อวิทยาศาสตร์    Curcuma sessilis Gage
ชื่อสามัญ              -
วงศ์                      Zingiberaceae

กระเจียวแดง พบทั่วไปทุกภาคตามป่าเต็งรังรวมถึงป่าไผ่ และสวนตามบ้านเรือนทั่วไป กระเจียวแดงเป็นไม้ล้มลุก อายุหลายปี ลำต้นอยู่ใต้ดินเป็นเหง้า  เนื้อของเหง้าจะมีสีเหลืองสด เจริญเติบโตเป็นกอสูงประมาณ 50-60 เซนติเมตร

ลักษณะของรูปใบเป็นแบบรูปใบหอก ปลายแหลม ใบคล้ายกระชาย

ดอกมีกลีบซ้อนจำนวนมาก ฤดูแล้วต้นจะโทรม ช่อดอกผลิจากกึ่งกลางต้น มีกาบรองดอกเรียงซ้อนกันเป็นชั้นๆ สีออกแดงอมชมพู ดอกจริงมีสีเหลืองสด โดยจะทยอยบานจากโคนไปสู่ปลายช่อทุกวันนานเป็นเดือน

ส่วนผลนั้นอยู่ภายในกาบรองดอก มีเมล็ดกลม

ประโยชน์


ทางอาหาร

ชาวอีสานมักนำหน่ออ่อนและช่อดอกอ่อนๆมาต้มกับกะทิหรือลวกจนดอกสุกนุ่ม กินร่วมกับน้ำพริก ส้มตำ หรือใส่ในแกงเผ็ดต่างๆ สำหรับการเก็บช่อดอกที่เริ่มบานแล้วนำมารับประทานควรล้างน้ำให้สะอาดโดยแกะกาบรองดอกออกก่อน เลือกกินเฉพาะส่วนที่เป็นแกนกลาง

ชาวเหนือมักนิยมกินดอกกระเจียวมากกว่าหน่อ โดยรสชาดจะออกปร่าๆ ช่วยในการขับลม มีในช่องฤดูฝน

ทางยา  หัวอ่อน หน่ออ่อน และดอกอ่อน ของกระเจียวแดง รสเผ็ดร้อน กลิ่นหอม ต้มกับน้ำมีสรรพคุณขับลม



ประโยชน์อื่นๆ 


พืชสกุลนี้มีหลายชนิดที่มีสรรพคุณเป็นสมุนไพร เช่น ว่านชักมดลูก ขมิ้นชัน เป็นต้น และนิยมปลูกเป็นไม้ดอกไม้ประดับตกแต่งสวนโดยสามารถตัดดอกมาประดับแจกัน เช่น ปทุมนา บัวชั้น พลอยทักษิณ กระเจียวส้ม ควรหล่อน้ำไว้ในกาบรองดอกจะช่วยให้มีอายุการปักแจกันได้นานขึ้น

วิธีปลูก


กระเจียวแดงเติบโตได้ดีในดินร่วนปนทราย มีอินทรียวัตถุสูง แสงแดดรำไร
ขยายพันธุ์ด้วยการแยกเหง้า ควรทำในช่วงต้นฤดูร้อนของปีแรกที่ปลูก ถ้าหน่อที่ปลูกมีขนาดเล็กอยู่อาจจะต้องใช้เวลาในการสะสมอาหารจึงจะออกดอกในปีถัดๆไป

จะมีการพักตัวในฤดูหนาว ถึงช่วงฤดูหนาวควรหยุดให้น้ำและริดตัดใบทิ้ง เมื่อถึงฤดูร้อนเข้าสู่ฤดูฝนจะผลิดอกและใบใหม่อีกครั้ง