วันจันทร์ที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

กระเจียวแดง



กระเจียวแดง 


ชื่อเรียกอื่นๆ         กระเจียวโคก(ภาคอีสาน), อาวแดง(ภาคเหนือ)
ชื่อวิทยาศาสตร์    Curcuma sessilis Gage
ชื่อสามัญ              -
วงศ์                      Zingiberaceae

กระเจียวแดง พบทั่วไปทุกภาคตามป่าเต็งรังรวมถึงป่าไผ่ และสวนตามบ้านเรือนทั่วไป กระเจียวแดงเป็นไม้ล้มลุก อายุหลายปี ลำต้นอยู่ใต้ดินเป็นเหง้า  เนื้อของเหง้าจะมีสีเหลืองสด เจริญเติบโตเป็นกอสูงประมาณ 50-60 เซนติเมตร

ลักษณะของรูปใบเป็นแบบรูปใบหอก ปลายแหลม ใบคล้ายกระชาย

ดอกมีกลีบซ้อนจำนวนมาก ฤดูแล้วต้นจะโทรม ช่อดอกผลิจากกึ่งกลางต้น มีกาบรองดอกเรียงซ้อนกันเป็นชั้นๆ สีออกแดงอมชมพู ดอกจริงมีสีเหลืองสด โดยจะทยอยบานจากโคนไปสู่ปลายช่อทุกวันนานเป็นเดือน

ส่วนผลนั้นอยู่ภายในกาบรองดอก มีเมล็ดกลม

ประโยชน์


ทางอาหาร

ชาวอีสานมักนำหน่ออ่อนและช่อดอกอ่อนๆมาต้มกับกะทิหรือลวกจนดอกสุกนุ่ม กินร่วมกับน้ำพริก ส้มตำ หรือใส่ในแกงเผ็ดต่างๆ สำหรับการเก็บช่อดอกที่เริ่มบานแล้วนำมารับประทานควรล้างน้ำให้สะอาดโดยแกะกาบรองดอกออกก่อน เลือกกินเฉพาะส่วนที่เป็นแกนกลาง

ชาวเหนือมักนิยมกินดอกกระเจียวมากกว่าหน่อ โดยรสชาดจะออกปร่าๆ ช่วยในการขับลม มีในช่องฤดูฝน

ทางยา  หัวอ่อน หน่ออ่อน และดอกอ่อน ของกระเจียวแดง รสเผ็ดร้อน กลิ่นหอม ต้มกับน้ำมีสรรพคุณขับลม



ประโยชน์อื่นๆ 


พืชสกุลนี้มีหลายชนิดที่มีสรรพคุณเป็นสมุนไพร เช่น ว่านชักมดลูก ขมิ้นชัน เป็นต้น และนิยมปลูกเป็นไม้ดอกไม้ประดับตกแต่งสวนโดยสามารถตัดดอกมาประดับแจกัน เช่น ปทุมนา บัวชั้น พลอยทักษิณ กระเจียวส้ม ควรหล่อน้ำไว้ในกาบรองดอกจะช่วยให้มีอายุการปักแจกันได้นานขึ้น

วิธีปลูก


กระเจียวแดงเติบโตได้ดีในดินร่วนปนทราย มีอินทรียวัตถุสูง แสงแดดรำไร
ขยายพันธุ์ด้วยการแยกเหง้า ควรทำในช่วงต้นฤดูร้อนของปีแรกที่ปลูก ถ้าหน่อที่ปลูกมีขนาดเล็กอยู่อาจจะต้องใช้เวลาในการสะสมอาหารจึงจะออกดอกในปีถัดๆไป

จะมีการพักตัวในฤดูหนาว ถึงช่วงฤดูหนาวควรหยุดให้น้ำและริดตัดใบทิ้ง เมื่อถึงฤดูร้อนเข้าสู่ฤดูฝนจะผลิดอกและใบใหม่อีกครั้ง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น